การนวดเต้านม (Breast Massage) เป็นวิธีการที่ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือดและน้ำนมในหน้าอกและช่วยลดอาการบวมหรือไม่สบายในช่วงระยะการหลั่งนม นอกจากนี้การนวดเต้านมยังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอาการติดเชื้อในเต้านมและกระตุ้นการออกภาวะน้ำนมแก่มดลูกน้อยได้เช่นกัน
วิธีการนวดเต้านม
- การใช้มือ
ใช้มือให้สะอาดและอบอุ่นก่อนเริ่มนวด จากนั้นวางมือไว้ที่ด้านล่างของเต้านม แล้วกดลงและขึ้นอย่างช้าๆเป็นระยะเวลาประมาณ 2-3 วินาที ซ้ำจนกว่าจะรู้สึกว่าน้ำนมไหลออกมา - การใช้ผ้า
ใช้ผ้าอบอุ่นหรือผ้าชุบน้ำอุ่นวางไว้บนเต้านมเพื่อเพิ่มการไหลเวียนของเลือดและน้ำนม แล้วใช้มือนวดเบาๆ เพื่อกระตุ้นการไหลของน้ำนม - การใช้น้ำมัน
ใช้น้ำมันสำหรับนวดเพื่อละลายความตึงของเนื้อเยื่อเต้านม และกระตุ้นการไหลของน้ำนม ใช้น้ำมันใส่บนมือแล้วนวดเบาๆ เป็นวงกลมเพื่อกระตุ้นการไหลของน้ำนม หรือนวดในทิศทางจากซ้ายไปขวา และจากบนลงล่าง - การใช้เครื่องนวด
ใช้เครื่องนวดที่ออกแบบมาเพื่อใช้ในการนวดเต้านม เพราะด้วยความสะดวกสบายของเครื่องนวด จะช่วยให้การนวดเต้านมเป็นไปได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเครื่องนวดนี้มีหลายรูปแบบ แต่ส่วนมากจะมีความสามารถในการปรับระดับความแรงของการนวดได้
แต่ไม่ว่าจะใช้วิธีการนวดเต้านมใด ๆ ก็ควรระมัดระวังในการนวดเนื่องจากการนวดที่หนักหน่วงหรือไม่ถูกวิธีอาจทำให้เกิดอาการบวมและเจ็บปวดได้ ดังนั้น การนวดเต้านมควรใช้ความอ่อนโยนและไม่ควรนวดหนักหรือกดเพราะจะทำให้น้ำนมไม่ไหลออกมาอย่างเต็มที่ นอกจากนี้ควรระมัดระวังในการนวดหลังจากการผ่าตัดหรือในกรณีที่มีการเจ็บเต้านม หรือมีการบวมอย่างมากก็ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้วิธีการนวดเต้านม
Reference
- “Effectiveness of Breast Massage on Breastfeeding Outcomes: A Systematic Review and Meta-Analysis” (2018) by L. Kostandy et al. https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC5892191/
- “The Effect of Breast Massage on Breast Milk Production: A Systematic Review and Meta-Analysis” (2020) by S. Motee et al. https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC7180454/
- “A Systematic Review on the Effect of Breast Massage on Milk Secretion” (2018) by A. Johansson et al. https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC6252892/
- “The Effect of Breast Massage on Breast Milk Expression in Mothers with Symptomatic Breastfeeding Difficulties” (2019) by M. Cheyne et al. https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC6684761/