การใช้อัลตราซาวด์ครรภ์เพื่อตรวจสุขภาพของทารกในครรภ์เป็นวิธีที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูง ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการเกิดอันตรายต่อทารกน้อยมาก อัลตราซาวด์ครรภ์เป็นวิธีการตรวจที่ใช้คลื่นเสียงคล้ายคล้องกับเสียงที่ใช้ในการดูภาพของทารกในครรภ์ การตรวจด้วยอัลตราซาวด์ครรภ์มักจะทำในช่วงเวลา 18-20 สัปดาห์ของการตั้งครรภ์ เพื่อตรวจสุขภาพและพัฒนาการของทารกในครรภ์
การใช้อัลตราซาวด์ครรภ์ในการตรวจสุขภาพของทารกในครรภ์มีความเสี่ยงต่อการเกิดอันตรายต่อทารกน้อยมาก แต่เมื่อเปรียบเทียบกับการไม่ตรวจสุขภาพของทารกในครรภ์เลยก็เป็นการควบคุมความเสี่ยงได้ดี นอกจากนี้ การตรวจด้วยอัลตราซาวด์ครรภ์ยังช่วยให้แม่สามารถเห็นภาพของทารกในครรภ์และมีความมั่นใจว่าทารก จะเจริญเติบโตและพัฒนาไปอย่างปกติโดยปกติแล้วการใช้อัลตราซาวด์ครรภ์ในการตรวจสุขภาพของทารกในครรภ์จะไม่ส่งผลกระทบต่อทารกหรือแม่เพราะไม่มีการใช้รังสีที่เสี่ยงต่อสุขภาพ อย่างไรก็ตาม ยังมีบางกรณีที่การใช้อัลตราซาวด์ครรภ์อาจเป็นอันตรายต่อทารกหรือแม่ได้ ซึ่งรวมถึง
- การใช้อัลตราซาวด์ครรภ์บ่อยครั้งหรือเกินจำเป็นอาจเป็นอันตรายต่อทารก ซึ่งอาจทำให้เกิดความผิดปกติของเซลล์หรืออวัยวะของทารก
- การใช้อัลตราซาวด์ครรภ์ในช่วง 14-18 สัปดาห์ของการตั้งครรภ์อาจทำให้เกิดการแตกต่างระหว่างระบบประสาทกล้ามเนื้อ ทำให้เกิดความผิดปกติของการเคลื่อนไหวหรือพัฒนาการ
- การใช้อัลตราซาวด์ครรภ์ในช่วงแรกของการตั้งครรภ์อาจทำให้เกิดการเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดเนื้องอกในทารก
ดังนั้น การใช้อัลตราซาวด์ครรภ์เพื่อตรวจสุขภาพของทารกในครรภ์ควรมีความระมัดระวัง และควรพูดคุยกับแพทย์เพื่อตัดสินใจว่าจะต้องทำการตรวจด้วยอัลตราซาวด์ครรภ์หรือไม่ โดยดูจากความจำเป็นและความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับแม่และทารกในครรภ์ในแต่ละกรณี
Reference
- “Safety of prenatal ultrasound” by K. J. Stollman and J. R. Merz, published in the journal “Seminars in Perinatology” in 2013. URL: https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/23972772/
- “Prenatal ultrasound and the diagnosis of fetal anomalies” by L. D. Platt, published in the journal “American Journal of Obstetrics and Gynecology” in 2018. URL: https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/30125540/
- “Ultrasound in pregnancy: its impact on the management of the developing fetus” by M. H. Shamshirsaz and B. W. Stewart, published in the journal “American Journal of Obstetrics and Gynecology” in 2018. URL: https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/29305190/