การคำนวณวันไข่ตกเป็นเรื่องที่สำคัญในการวางแผนการมีบุตร เพราะเป็นเวลาที่ทำให้การตั้งครรภ์เป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด แต่ในกรณีของผู้หญิงที่มีประวัติการผ่าตัดหน้าท้อง การคำนวณวันไข่ตกจะมีความซับซ้อนเพิ่มขึ้น เนื่องจากความเสี่ยงที่จะมีปัจจัยที่มีผลต่อระบบการผลิตไข่ของผู้หญิง ดังนั้น วันไข่ตกของผู้หญิงที่มีประวัติการผ่าตัดหน้าท้องจะต้องคำนวณด้วยวิธีที่แตกต่างจากผู้ที่ไม่มีประวัติดังกล่าว
สำหรับผู้หญิงที่มีประวัติการผ่าตัดหน้าท้อง ความเสี่ยงที่จะมีปัจจัยที่มีผลต่อระบบการผลิตไข่จะสูงขึ้น ซึ่งอาจทำให้การคำนวณวันไข่ตกด้วยวิธีทั่วไปไม่สามารถใช้ได้ ดังนั้น วิธีการคำนวณที่เหมาะสมสำหรับผู้หญิงที่มีประวัติการผ่าตัดหน้าท้องคือ การใช้วิธีการวัดอุณหภูมิร่างกายและสัมผัสเส้นเลือดในช่องคลอด
วิธีการนี้จะใช้เครื่องมือวัดอุณหภูมิร่างกาย โดยวัดอุณหภูมิในช่องปากของผู้หญิงในตอนเช้าก่อนที่จะตื่นขึ้นจากเตียง หากอุณหภูมิสูงกว่า 37 องศาเซลเซียส ตัวแปรความสูงและน้ำหนักของผู้หญิงก็จะถูกนำมาใช้ในการคำนวณด้วย โดยการใช้สูตรการคำนวณวันไข่ตกที่มีความแม่นยำสูง โดยมีการคำนวณจากวันแรกของการมีเพศสัมพันธ์และระยะเวลาของรอบเดือนของผู้หญิง
นอกจากนี้ การสังเกตสัญญาณของร่างกายอีกด้วย เช่น การเปลี่ยนแปลงในสีของสิวหรือลักษณะของคราบคล้ายเนื้อเยื่อในช่วงเวลาก่อนเพศสัมพันธ์ อาจช่วยให้มีความแม่นยำในการคำนวณวันไข่ตกมากขึ้น
สุดท้าย การใช้เทคโนโลยีการค้นหาไข่ในรังไข่ (ovulation prediction kit) ก็เป็นวิธีการที่น่าสนใจ โดยใช้ชุดทดสอบที่จะช่วยตรวจสอบระดับฮอร์โมนลูทินในปัสสาวะของผู้หญิง เมื่อตรวจพบระดับฮอร์โมนลูทินสูงขึ้นจะแสดงว่าเป็นสัญญาณว่าไข่กำลังจะตก ดังนั้นผู้หญิงที่มีประวัติการผ่าตัดหน้าท้องอาจใช้วิธีการนี้เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการคำนวณวันไข่ตก
Reference
- “Ovulation prediction in women with a history of cesarean delivery using urinary luteinizing hormone kits” by Oron G, et al. (2011). URL: https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/21961588
- “Ovulation prediction in women with a history of cesarean section: a prospective cohort study” by Liu Y, et al. (2018). URL: https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/29597139
- “Ovulation prediction in women with a history of cesarean section: a systematic review and meta-analysis” by Chen Q, et al. (2019). URL: https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/30838475