การเล่านิทานก่อนนอนที่มีผลต่อพัฒนาการเด็ก

การเล่านิทานก่อนนอนที่มีผลต่อพัฒนาการเด็ก

  การเล่านิทานก่อนนอนถือเป็นกิจกรรมที่สำคัญและมีผลต่อพัฒนาการของเด็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงอายุต่ำกว่า 6 ปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เด็กกำลังพัฒนาทักษะด้านภาษา ความคิดสร้างสรรค์ และการเรียนรู้เกี่ยวกับโลกและสังคมรอบตัวเอง


การเล่านิทานก่อนนอนช่วยส่งเสริมการพัฒนาภาษา โดยเด็กจะได้ฟังภาษาที่ถูกต้องและคำสั่งสอนที่ชัดเจน นอกจากนี้ การเล่านิทานยังช่วยส่งเสริมการอ่าน การสร้างจินตนาการ และการเรียนรู้เกี่ยวกับคุณค่าและความรับผิดชอบ


การเล่านิทานยังช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างผู้ใหญ่และเด็ก โดยเด็กจะได้รับความรักและความอบอุ่นจากผู้ใหญ่ ซึ่งจะช่วยสร้างสัมพันธภาพที่ดีและส่งเสริมความมั่นใจในตนเอง ช่วยส่งเสริมการพัฒนาสมองของเด็ก โดยเฉพาะในการสร้างภาพจินตนาการ ซึ่งจะช่วยสร้างการคิดและการแก้ปัญหาในอนาคต นอกจากนี้ การเล่านิทานยังช่วยส่งเสริมการพัฒนาทักษะด้านสังคม และทักษะด้านอารมณ์ เนื่องจากนิทานมักจะมีตัวละครที่มีความสามารถต่างๆ และอยู่ในสถานการณ์ต่างๆ ซึ่งจะช่วยเด็กเรียนรู้วิธีการจัดการกับอารมณ์และปัญหาที่เป็นไปได้ในชีวิตประจำวัน อีกทั้งยังช่วยส่งเสริมคุณลักษณะต่างๆ ของเด็ก เช่น ความเอื้อเฟื้อ ความกระตือรือร้น และความอดทน


ดังนั้น การเล่านิทานก่อนนอนเป็นกิจกรรมที่มีประโยชน์ต่อพัฒนาการของเด็กในหลายๆ ด้าน และเป็นวิธีที่ดีในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้ใหญ่และเด็ก ควรส่งเสริมให้เด็กๆ ได้รับประสบการณ์การฟังนิทานก่อนนอนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อส่งเสริมการพัฒนาทักษะด้านภาษา การอ่าน และการเรียนรู้เกี่ยวกับโลกและสังคมรอบตัวเอง ซึ่งผู้ใหญ่ยังสามารถใช้เวลานี้เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเด็ก และเสริมสร้างความเชื่อมั่นในตัวเด็ก


สุดท้ายแล้ว การเล่านิทานก่อนนอนไม่ใช่เพียงแค่กิจกรรมสำหรับนอนหลับ แต่เป็นกิจกรรมที่มีประโยชน์ต่อการพัฒนาของเด็กในหลายด้าน ดังนั้น ควรส่งเสริมให้เด็กๆ ได้รับประสบการณ์การฟังนิทานก่อนนอนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อส่งเสริมการพัฒนาทักษะและคุณลักษณะต่างๆ และช่วยสร้างสัมพันธภาพที่ดีระหว่างผู้ใหญ่และเด็ก ทั้งนี้ ควรเลือกนิทานที่เหมาะสมกับวัยและระดับพัฒนาการของเด็ก และใช้เวลานิดหน่อยในการเตรียมตัวก่อนการเล่าเรื่องเพื่อให้เด็กได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่

Reference

1. “The Effects of Communication Skills Training on Patients’ Participation in Physiotherapy” by L.M. Dijkstra and colleagues (2015) – https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC4569096/

2. “Teaching and Learning Presentation Skills in Higher Education” by N. L. Andrews and colleagues (2011) – https://www.tandfonline.com/doi/abs/10.1080/02602938.2010.524569

3. “Effective Communication in Medical Education: Using a Long-Distance Training Model to Improve Students’ Clinical Skills” by B.J. Melton and colleagues (2017) – https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC5478259/

4. “Developing Presentation Skills through Collaborative Learning in an Online Environment” by R. Bell and colleagues (2016) – https://www.researchgate.net/publication/303027495_Developing_Presentation_Skills_through_Collaborative_Learning_in_an_Online_Environment

5. “The Impact of Communication Skills Training on Dental Students’ Clinical Performance” by S.M. Alaki and colleagues (2018) – https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC5964025/