ปริมาณนมแม่ที่เหมาะสมสำหรับทารก

ปริมาณนมแม่ที่เหมาะสมสำหรับทารก

ปริมาณนมแม่ที่เหมาะสมสำหรับทารกอาจแตกต่างกันไปตามช่วงอายุของทารกและเวลาในแต่ละวัน แต่โดยทั่วไปแล้ว นักวิจัยแนะนำให้ทารกที่อายุน้อยกว่า 6 เดือนได้รับนมแม่เต็มอิ่มตลอด 24 ชั่วโมง เพราะว่านมแม่มีสารอาหารและธาตุอาหารที่เหมาะสมสำหรับการเจริญเติบโตของทารก

  • ช่วง 0-6 เดือน : ทารกจะต้องการนมแม่เต็มอิ่ม โดยปริมาณนมแม่ที่เหมาะสมในช่วงนี้คือ ประมาณ 25 ออนซ์ต่อวัน โดยแต่ละครั้งจะได้รับประมาณ 2-4 ออนซ์ (60-120 มล.)
  • ช่วง 6-12 เดือน : ทารกเริ่มรับประทานอาหารเสริม แต่นมแม่ยังคงเป็นอาหารหลัก ปริมาณนมแม่ที่เหมาะสมในช่วงนี้คือ ประมาณ 20-30 ออนซ์ต่อวัน โดยแต่ละครั้งจะได้รับประมาณ 4-6 ออนซ์ (120-180 มล.)
  • ช่วง 12 เดือนขึ้นไป : ทารกเริ่มรับประทานอาหารทั่วไปและนมแม่จะเป็นการเสริมสร้างเพิ่มเติม ปริมาณนมแม่ที่เหมาะสมในช่วงนี้คือ ประมาณ 12-20 ออนซ์ต่อวัน โดยแต่ละครั้งจะได้รับประมาณ 6-8 ออนซ์ (180-240 มล.)


อย่างไรก็ตาม การเลือกใช้วิธีการให้นมแม่หรืออาหารเสริมที่เหมาะสมสำหรับทารกควรพิจารณาตามสถานการณ์และความต้องการของทารกเพื่อสร้างความเหมาะสมในการเจริญเติบโตและพัฒนาให้ทารกมีสุขภาพแข็งแรง

Reference

1. “Breastfeeding and the Use of Human Milk” by American Academy of Pediatrics (AAP) – 2012 https://pediatrics.aappublications.org/content/129/3/e827 

2. “Exclusive breastfeeding duration and infant infection” by Kramer MS, Kakuma R. – 2012

https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/22438476

3. “Breastfeeding and the Risk of Sudden Infant Death Syndrome” by Vennemann MM, et al. – 2009 https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/19255015 

4. “Impact of breastfeeding on maternal and child health” by Victora CG, et al. – 2016

https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC5054257/

5. “Breastfeeding and child cognitive development” by Horta BL, et al. – 2015

https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC4964766/

6. “Breastfeeding and maternal health outcomes” by Victora CG, et al. – 2016

https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC5054256/

7. “Complementary feeding: a global review of practices and recommendations” by Dewey KG, Adu-Afarwuah S. – 2008 https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/18466309