การเรียนรู้ที่เป็นปฏิสัมพันธ์และเน้นการเรียนรู้เชิงปฏิบัติในช่วงประถมศึกษา (ป.1-ป.6) นั้นเป็นแนวทางการพัฒนาการศึกษาที่ได้รับการยอมรับและนำเข้าใช้ในหลายประเทศทั่วโลก เนื่องจากการเรียนรู้ที่เกิดจากปฏิสัมพันธ์และปฏิบัติจริงจะช่วยให้เด็กได้พัฒนาทักษะและความรู้ได้อย่างเต็มตัวในสถานการณ์ที่จริงของชีวิตประจำวันได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะองค์ประกอบด้านสติปัญญา (cognitive) และทักษะการเรียนรู้ (learning skills) ซึ่งจะเป็นฐานให้เด็กสามารถเรียนรู้ได้เองและเป็นประโยชน์ในอนาคต
การเรียนรู้ที่เป็นปฏิสัมพันธ์และเน้นการเรียนรู้เชิงปฏิบัติจะมีลักษณะการเรียนรู้ที่ต่างกันจากการเรียนรู้ที่เน้นการฟังและจำเพียงเท่านั้น ด้วยการเรียนรู้ที่เป็นปฏิสัมพันธ์ นักเรียนจะได้มีโอกาสเข้าถึงสถานการณ์จริง และมีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้มากขึ้น เช่น การศึกษาแบบปฏิบัติการในวิทยาศาสตร์ การศึกษาในสถานที่ประวัติศาสตร์ หรือการเรียนรู้ที่เกี่ยวกับการแก้ปัญหาในคณิตศาสตร์
การเรียนรู้ที่เป็นปฏิสัมพันธ์และเน้นการเรียนรู้เชิงปฏิบัติในช่วงประถมศึกษาจะเน้นการเรียนรู้ในสถานการณ์จริงและการปฏิบัติจริง เพื่อให้เด็กได้รับประสบการณ์ที่หลากหลายและซับซ้อน ซึ่งจะช่วยให้พัฒนาการทั้งด้านปัญญาและทักษะชีวิตอย่างเต็มตัว
การเรียนรู้ที่เป็นปฏิสัมพันธ์จะให้โอกาสให้เด็กได้เล่นและปฏิบัติในสถานการณ์ต่าง ๆ ที่สื่อให้เกิดการเรียนรู้ โดยตัวอย่างของกิจกรรมการเรียนรู้ที่เป็นปฏิสัมพันธ์ได้แก่ การเล่นบทละครหรือการแสดงอย่างเสมือนจริง เพื่อให้เด็กได้ทดลองบทบาทและสื่อสารในสถานการณ์ต่าง ๆ การเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์ในสถานที่จริง เช่น การนำเสนอการทดลองหรือการศึกษาธรรมชาติ และการเรียนรู้ทางศิลปะและการออกแบบ โดยให้เด็กมีโอกาสสร้างสรรค์ผลงานของตนเอง ซึ่งจะกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์และความคิดวิพากษ์วิจารณ์
การให้เกียรติกับประสบการณ์การเรียนรู้ในสถานการณ์จริงจะเป็นการเตรียมความพร้อมให้เด็กเป็นผู้เรียนที่สามารถนำความรู้และทักษะที่ได้รับไปใช้ในสถานการณ์จริงในชีวิตประจำวันได้ โดยให้เด็กได้มีโอกาสเรียนรู้จากประสบการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตจริง เช่น การเดินทางไปสถานที่ต่าง ๆ เพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมท้องถิ่น การเยี่ยมชมสถานที่สำคัญ หรือการเข้าร่วมกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับสังคม อาชีพ หรือการบริโภค เพื่อให้เด็กได้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างทฤษฎีที่ได้เรียนรู้ในห้องเรียนกับการใช้ความรู้ในชีวิตจริง
การเรียนรู้ในสถานการณ์จริงจะช่วยให้เด็กพัฒนาทักษะสื่อสาร ทักษะการทำงานร่วมกัน และการแก้ปัญหา เนื่องจากเด็กจะต้องพบกับสถานการณ์ที่ต้องใช้ความคิดวิพากษ์วิจารณ์ การวิเคราะห์ และการสื่อสารกับผู้อื่น นอกจากนี้ การเรียนรู้ในสถานการณ์จริงยังสร้างโอกาสให้เด็กพัฒนาทักษะด้านจิตวิทยา ด้านความรับผิดชอบ และความตั้งใจในการเรียนรู้
สำหรับผู้ปกครองและครู การเรียนรู้ที่เป็นปฏิสัมพันธ์และการให้เกียรติกับประสบการณ์การเรียนรู้ในสถานการณ์จริงนั้นสามารถสนับสนุนให้เด็กพัฒนาองค์ประกอบที่สำคัญในการเรียนรู้ เช่น การพัฒนาการสติปัญญา เช่น การสังเกตและสำรวจสิ่งต่าง ๆ ในสภาพแวดล้อม การวิเคราะห์และตีความข้อมูล เรียนรู้และนำความรู้ไปใช้ในการแก้ปัญหา การสร้างสรรค์และการวางแผน เป็นต้น
การเรียนรู้ที่เป็นปฏิสัมพันธ์และการให้เกียรติกับประสบการณ์การเรียนรู้ในสถานการณ์จริงยังส่งเสริมให้เด็กพัฒนาทักษะทางสังคมและอารมณ์ โดยการเรียนรู้ในสถานการณ์จริงเด็กจะได้เข้าสังคมกับคนอื่น ๆ และได้เรียนรู้การทำงานร่วมกัน การแก้ข้อขัดแย้ง การทำงานเป็นทีม และการสื่อสารในกลุ่ม ที่จะเป็นประโยชน์สูงสุดในการพัฒนาทักษะสังคมในอนาคต
ในสรุป การเรียนรู้ที่เป็นปฏิสัมพันธ์และการให้เกียรติกับประสบการณ์การเรียนรู้ในสถานการณ์จริงในช่วงประถมศึกษา จะช่วยพัฒนาทักษะทางสติปัญญา ทักษะการเรียนรู้ ทักษะทางสังคม และทักษะชีวิตของเด็กอย่างเต็มตัว และเตรียมพร้อมให้เด็กใช้ความรู้และทักษะในสถานการณ์จริงของชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับความต้องการของสังคมในปัจจุบันและอนาคต
Reference
- “The Importance of Early Childhood Education” (2017) – https://www.researchgate.net/publication/315086857_The_Importance_of_Early_Childhood_Education
- “The Effects of Early Childhood Education on Cognitive Development” (2014) – https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC4247666/
- “The Benefits of Early Childhood Education: A Systematic Review” (2019) – https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC6765058/
- “Early Childhood Education and Care and Cognitive Development in Young Children” (2016) – https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC4924127/
- “The Relationship between Early Childhood Education and Social-Emotional Development” (2018) – https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC6159433/