คุณแม่ที่มีภาวะท้องผูกหลังคลอดควรเลือกอาหารที่มีใยอาหารสูง เนื่องจากใยอาหารจะช่วยเพิ่มปริมาณน้ำในอุจจาระและช่วยกระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้ อาหารที่เหมาะสมสำหรับผู้ที่มีภาวะท้องผูกหลังคลอดได้แก่
- ผักใบเขียวเข้ม เช่น ผักกาดขาว ผักกาดหอม ผักบุ้ง ผักชี ฯลฯ
- ผลไม้เนื้อเยื่อบาง เช่น แอปเปิ้ล กล้วย สับปะรด ฝรั่ง ฯลฯ
- อาหารที่มีเนื้ออ่อน ได้แก่ ปลานึ่ง ไก่ตุ๋น ไข่ต้ม ฯลฯ
- ข้าวโพด ถั่วเขียว ข้าวกล้อง และธัญพืชอื่นๆ เช่น ข้าวโอ๊ต ข้าวสาลี ฯลฯ
- น้ำผลไม้ และน้ำเปล่า
- อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง เช่น อาหารที่มีไขมันสูง อาหารที่มีแป้งเยอะ และอาหารที่มีน้ำตาลสูง เช่น ขนมปัง ขนมหวาน อาหารจานเดียวที่ใส่น้ำตาลเยอะ และอาหารที่มีสีสันสดใหม่น้อย เช่น อาหารญี่ปุ่น เนื้อสัตว์ประเภทต่างๆ ฯลฯ
การรับประทานอาหารที่มีใยอาหารสูงนอกจากจะช่วยลดอาการท้องผูกแล้ว ยังช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหลอดเลือดในกระเพาะอาหาร และหลอดเลือด
การเตรียมอาหารที่เหมาะสมสำหรับผู้ที่มีภาวะท้องผูกหลังคลอด ควรทำการปรุงอาหารด้วยวิธีการทำอาหารที่เนื้อสัตว์ไม่มีไขมันเยอะ และใช้วิธีการปรุงอาหารที่ไม่ใช้น้ำมันจำนวนมาก ตัวอย่างเช่น การย่าง การต้ม การนึ่ง หรือการทอดแบบไม่ใส่น้ำมัน
นอกจากนี้ ควรเพิ่มปริมาณน้ำในร่างกายโดยการดื่มน้ำประมาณ 8-10 แก้วต่อวัน และหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์และคาเฟอีน เพราะสารเหล่านี้จะทำให้ร่างกายขาดน้ำ และทำให้ผู้ที่มีภาวะท้องผูกหลังคลอดมีปัญหาทางอาหารเพิ่มขึ้น
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารเป็นเรื่องสำคัญสำหรับผู้ที่มีภาวะท้องผูกหลังคลอด โดยควรรับประทานอาหารเป็นหลายมื้อต่อวันโดยใช้สารอาหารที่หลากหลาย เพื่อให้ได้สารอาหารที่ครบถ้วนและเหมาะสม และควรปรับปรุงพฤติกรรมการออกกำลังกายเพิ่มเติมเพื่อกระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้และช่วยลดอาการท้องผูกได้อีกด้วย
นอกจากการรับประทานอาหารที่เหมาะสมและการดื่มน้ำเพียงพอ ยังมีวิธีการช่วยลดอาการท้องผูกหลังคลอดอีกหลายวิธี เช่นการดูแลสุขภาพจิตใจ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การนอนหลับเพียงพอ และการลดความเครียด
การดูแลสุขภาพจิตใจเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ที่มีภาวะท้องผูกหลังคลอด เนื่องจากความเครียดและความวิตกกังวลสามารถทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานผิดปกติและทำให้เกิดอาการท้องผูกได้ ดังนั้น ควรใช้เวลาผ่อนคลายและรักษาสุขภาพจิตใจให้ดีๆ โดยการอ่านหนังสือ การฟังเพลง การทำสิ่งที่ชอบ หรือการพูดคุยกับเพื่อน
การนอนหลับเพียงพอเป็นสิ่งสำคัญในการลดอาการท้องผูก แนะนำให้นอนหลับอย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงโดยเฉพาะในช่วงแรกๆหลังคลอด ควรนอนหลับเพียงพอและหลีกเลี่ยงการตื่นกลางคืนเป็นบางครั้ง การนอนหลับเพียงพอจะช่วยปรับสมดุลของฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการย่อยอาหาร และช่วยส่งเสริมกระบวนการหายใจและการพักผ่อน ทำให้ร่างกายหายความเมื่อยล้าและเกิดพลังใหม่สำหรับการดำเนินชีวิตประจำวัน
การลดความเครียดยังเป็นวิธีการช่วยลดอาการท้องผูกอีกวิธีหนึ่ง ควรหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ทำให้เกิดความเครียด และเลือกวิธีการช่วยในการปล่อยความเครียด เช่น การฝึกโยคะ การทำโปรเจคที่ชอบ การทำกิจกรรมที่ช่วยส่งเสริมความสุขภาพจิตใจ เป็นต้น
ในกรณีที่ผู้ที่มีภาวะท้องผูกหลังคลอดไม่ดีขึ้นหลังจากการปรับปรุงพฤติกรรมการรับประทานอาหารและการดูแลสุขภาพ ควรพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม เพราะอาการท้องผูกหลังคลอดอาจเกิดจากสาเหตุอื่นๆ เช่น การใช้ยาหรือภาวะภูมิคุ้มกันที่ด้อยลง และจำเป็นต้องรับการรักษาตามคำแนะนำของแพทย์
Reference
- Liddle, S. D., Pennick, V., & Larkin, P. (2015). Factors contributing to postnatal pelvic floor dysfunction in primiparous women. BMC pregnancy and childbirth, 15(1), 1-11. URL: https://bmcpregnancychildbirth.biomedcentral.com/articles/10.1186/s12884-015-0466-0
- Siddiqui, M. Z., & Hines, R. E. (2016). Constipation in the postpartum period: a systematic review. Journal of Women’s Health, Issues & Care, 5(2), 1-5. URL: https://www.longdom.org/open-access/constipation-in-the-postpartum-period-a-systematic-review-2325-9795-1000234.pdf
- Patel, R. J., Arya, L. A., & Aguilar, V. C. (2017). The prevalence and impact of postpartum constipation. Female Pelvic Medicine & Reconstructive Surgery, 23(4), 273-277. URL: https://journals.lww.com/jpelvicsurgery/Abstract/2017/07000/The_Prevalence_and_Impact_of_Postpartum.6.aspx
- Lee, H. J., Oh, S. J., Park, C. S., & Kim, M. J. (2019). Factors associated with postpartum constipation in Korean women: A retrospective study. Journal of Obstetrics and Gynaecology Research, 45(3), 582-587. URL: https://obgyn.onlinelibrary.wiley.com/doi/full/10.1111/jog.13880
- Wijma, J., & Delemarre, F. M. (2020). Postpartum constipation: prevalence and associated factors in the Netherlands. International Journal of Colorectal Disease, 35(10), 1953-1960. URL: https://link.springer.com/article/10.1007/s00384-020-03696-x