การให้น้ำนมแม่ในช่วงแรกของชีวิตเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับการเติบโตและพัฒนาของทารก เนื่องจากน้ำนมแม่มีประโยชน์มากมายทั้งสำหรับทารกและคุณแม่เองด้วยกัน ดังนั้นในบทความนี้จะกล่าวถึงประโยชน์ของการให้น้ำนมแม่ในช่วงแรกของชีวิต
- ส่งเสริมการเจริญเติบโตของทารก
น้ำนมแม่มีสารอาหารที่เหมาะสมสำหรับการเจริญเติบโตของทารกและช่วยให้ทารกเติบโตได้อย่างเหมาะสม น้ำนมแม่ยังช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของทารก และลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ - ส่งเสริมสุขภาพแม่
การให้น้ำนมแม่ยังช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง และเบาหวาน นอกจากนี้การให้น้ำนมแม่ยังช่วยลดการเกิดมะเร็งเต้านมและมดลูกหมากในแม่ - สร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างแม่และทารก
การให้น้ำนมแม่ช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งระหว่างแม่และทารก
- ลดความเสี่ยงของการเจ็บป่วย
การให้น้ำนมแม่ช่วยลดความเสี่ยงของทารกเจ็บป่วยเนื่องจากมีสารอาหารที่ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของทารก นอกจากนี้ น้ำนมแม่ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันการเกิดภาวะอักเสบในทารก - ประหยัดค่าใช้จ่าย
การให้น้ำนมแม่ไม่ต้องใช้เงินซื้อนมผสมหรือนมสัตว์ ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากเป็นพิเศษ - ส่งเสริมการป้องกันโรคเรื้อรัง
การให้น้ำนมแม่ช่วยลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรังเช่น ภูมิแพ้ โรคหอบหืด และโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง นอกจากนี้ การให้น้ำนมแม่ยังช่วยป้องกันการเกิดภาวะความผิดปกติในการเจริญเติบโตของทารกเช่น โรคเบาหวานและโรคอ้วนในอนาคต
ดังนั้น การให้น้ำนมแม่ในช่วงแรกของชีวิตมีประโยชน์มากมายสำหรับทั้งทารกและแม่เอง แม่ควรให้น้ำนมแม่เพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตและพัฒนาที่ดีของทารก สร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งระหว่างแม่และทารก และช่วยลดความเสี่ยงของการเจ็บป่วยและโรคเรื้อรังในอนาคตของทารก
Reference
- “Breastfeeding and the risk of respiratory tract infections in infancy: a meta-analysis” (2018)https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/29633034
- “Breastfeeding and the Risk of Sudden Infant Death Syndrome” (2017)https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/28898445
- “Breastfeeding and its role in early development” (2017)https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/28027631
- “Breastfeeding and maternal and infant health outcomes in developed countries” (2013)https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/23381584
- “Breastfeeding and its impact on child cognitive development” (2012)https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/22432735