น้ำนมแม่เก็บในตู้แช่นาน ดีหรือไม่

น้ำนมแม่เก็บในตู้แช่นาน ดีหรือไม่

น้ำนมแม่ไม่ควรถูกแช่ในตู้เก็บความเย็นเป็นเวลานานเกินไปเพราะจะทำให้สารอาหารและสารต่างๆ ในน้ำนมสูญเสียคุณค่าได้ ซึ่งอาจทำให้ลูกน้อยได้รับพลังงานและสารอาหารไม่เพียงพอ


ตามแนวทางแนะนำขององค์กรสุขภาพโลก WHO และองค์กรกีฬา FIFA จะแนะนำให้น้ำนมแม่ถูกแช่ในตู้เก็บความเย็นไม่เกิน 4 วัน แต่หากต้องการเก็บนานกว่านี้ สามารถเก็บในตู้แช่ของแบบ frost-free freezer ได้ไม่เกิน 6 เดือน และในตู้แช่แบบเย็นจัด (deep freezer) สามารถเก็บได้ถึง 12 เดือน โดยควรเก็บในภาชนะที่มีฝาปิดสนิท เพื่อป้องกันการสัมผัสกับอากาศภายนอกและลดความเสียหายของสารอาหารในน้ำนมแม่ที่เก็บไว้


อย่างไรก็ตาม การเก็บน้ำนมแม่ในตู้เก็บความเย็นก็ไม่ควรเป็นวิธีการเก็บที่ได้ผลเต็มประสิทธิภาพเสมอไปเสมอมา เนื่องจากตู้เก็บความเย็นอาจมีการผสมผสานกับอาหารอื่นๆ ที่เก็บในตู้เดียวกัน ทำให้น้ำนมแม่มีความเสี่ยงที่จะสูญเสียคุณภาพ นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดเชื้อราหรือแบคทีเรียในน้ำนมแม่ที่ถูกเก็บเป็นเวลานานเกินไป ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพของลูกน้อยได้


ดังนั้น ถ้าเป็นไปได้ ควรจะใช้น้ำนมแม่ทันทีหลังจากการปั้นนมและเลี้ยงลูกน้อยเสร็จสิ้น และหากต้องการเก็บไว้ใช้งานภายหลัง ควรเก็บในภาชนะที่มีฝาปิดสนิทและเก็บไว้ในตู้เย็นจัดหรือตู้แช่ของแบบ frost-free freezer ให้เก็บเป็นเวลาไม่เกิน 6 เดือน หรือ 12 เดือนตามลำดับ โดยควรตรวจสอบสถานะและสุขภาพของน้ำนมแม่ก่อนการใช้งานเสมอ โดยให้ตรวจดูว่ามีเชื้อราหรือลักษณะผิดปกติอื่นๆ หรือไม่


นอกจากนั้น การเก็บน้ำนมแม่ในภาชนะที่มีฝาปิดสนิทยังต้องทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดเชื้อราหรือแบคทีเรียในภาชนะ โดยควรใช้น้ำยาล้างจานหรือน้ำยาทำความสะอาดที่ไม่มีสารเคมีอันตรายและหากใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์ในการทำความสะอาดก็ควรหมักในน้ำยาทำความสะอาดก่อน และปิดฝาอย่างแน่นหลังจากทำความสะอาดเสร็จสิ้น


อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญก็คือการเก็บน้ำนมแม่ในอุณหภูมิที่เหมาะสม น้ำนมแม่ควรถูกเก็บในอุณหภูมิ 0-4 องศาเซลเซียส โดยควรจะเก็บในช่องเก็บความเย็นของตู้เย็น เพราะช่องนี้อุณหภูมิมั่นคงและได้รับการควบคุมอย่างเหมาะสม

Reference

  1. https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC6184606/ (2018)
  2. https://www.sciencedirect.com/science/article/pii/S1876285917311886 (2017)
  3. https://journals.sagepub.com/doi/full/10.1177/0890334411416821 (2011)
  4. https://www.jhltonline.org/article/S1053-2498(17)31720-3/fulltext (2018)
  5. https://www.tandfonline.com/doi/full/10.1080/07399332.2016.1258826 (2017)