แม่ไม่เลี้ยง! พ่อหายสาบสูญ! อาถูกยิง! สู่การสร้างธุรกิจ 100ล้าน เพื่อลบปมในวัยเด็ก

แม่ไม่เลี้ยง! พ่อหายสาบสูญ! อาถูกยิง! สู่การสร้างธุรกิจเพื่อลบปมในวัยเด็ก เรื่องจริงของ “ปาล์มวดี ผดุงศิริกุลชัย” ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Jessie Mum สมุนไพรเพิ่มน้ำนมแม่ ความสำเร็จ 100 ล้านจากครอบครัวที่ไม่สมประกอบ

     Jessie Mum นับว่าเป็นหนึ่งในแบรนด์อาหารเสริมเพิ่มน้ำนมแม่ที่มีชื่อเสียงที่สุดอยู่ในขณะนี้ โดยต่างรู้จักเป็นอย่างดีในวงการตลาดกลุ่มแม่และเด็ก แต่กว่าผลิตภัณฑ์จะโด่งดังเป็นที่ยอมรับในตลาดคุณแม่ลูกอ่อนจนประสบความสำเร็จนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ต้องแลกมาด้วยช่วงเวลาที่ลองผิดลองถูกและทำงานอย่างหนัก แต่ท้ายที่สุดเมื่อฝ่าฟันอุปสรรคนั้นมาแล้ว เรื่องราวเหล่านั้นกลับเป็นจุดสำคัญของชีวิตที่หล่อหลอมให้แบรนด์เติบโตในวันนี้

      เหมือนดั่งเช่นเรื่องราวของ คุณปาล์ม-ปาล์มวดี ผดุงศิริกุลชัย ผู้ก่อตั้งบริษัทแบรนด์ Jessie Mum สมุนไพรเพิ่มน้ำนมแม่หลังคลอด ที่ชีวิตในวัยเด็กไม่ได้เกิดมาในครอบครัวที่สมบูรณ์พร้อม นั่นอาจทำให้เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เธอเป็นผู้ที่มีความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างจริงใจต่อลูกค้าที่เป็นคุณแม่ลูกอ่อน คือความใส่ใจในทุกรายละเอียด ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องวางแผนการตลาด การใส่ใจลูกค้าอย่างจริงใจ การดูแลตัวแทนจำหน่ายอย่างใกล้ชิด สิ่งเหล่านี้ถือเป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้แบรนด์เติบโตได้อย่างมั่นคง

ชีวิตวัยเด็กไม่ได้สวยหรู

      จะเห็นว่าคนที่ประสบความสำเร็จ ล้วนเป็นคนที่ชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบมาตั้งแต่ต้น และพวกเขาต้องผ่านความยากลำบากและจุดต่ำสุดของชีวิตกันมาหมดแล้ว เช่นเดียวกับชีวิตของ “คุณปาล์ม” เจ้าของแบรนด์ Jessie Mum ซึ่งในวัยเด็กเกือบจะไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือ เพราะคุณพ่อคุณแม่ได้แยกทางกัน ได้เล่าให้ฟังว่า สมัยเด็กๆ คุณแม่ได้ให้นมปาล์มมาถึงแค่ 2 ขวบ แม้เป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่ก็เป็นความทรงจำที่มีความผูกพันธ์และจดจำมาจนถึงปัจจุบัน นั่นอาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่เราอยากส่งเสริมให้ทุกคนเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เพราะเราไม่สามารถรู้ได้เลยว่า ช่วงเวลาการให้นมลูกนั่นอาจจะเป็นช่วงเวลาที่ได้ผูกพันธ์กับลูกมากที่สุดแล้วก็ได้

    “ตอนนั้นเราเล็กมากๆ หลังพ่อแม่แยกทางกันพ่อก็พาเราย้ายจาก จ.สุราษฎร์ธานี ไปอยู่กับ อาม่า กับ อาโก ที่จังหวัดชลบุรี ที่ตลาดหัวกุญแจ อ.บ้านบึง หลังจากนั้นเราก็ไม่ได้เจอคุณแม่อีกเลย พอเราอยู่จนอายุได้ 5-6 ขวบ ก็มามีจุดเปลี่ยนชีวิตอีกครั้ง คืออาเจ๊กโดนยิงตายที่ตลาด นั่นทำให้พ่อของเรารู้สึกไม่ปลอดภัย กลัวว่าทุกคนในครอบครัวจะเป็นอะไรไป พ่อก็ได้หนีหายสาบสูญไปเลย และช่วงนั้นคุณพ่อก็มีอาการป่วยทางสมอง เขาก็รู้สึกระแวงอยู่ตลอดเวลา ที่สำคัญเป็นห่วงเรามาก เพราะเรายังเล็ก กลัวว่าจะมีใครมาทำอะไร ปาล์มคิดว่าเพื่อเป็นปกป้องเราและทุกคน คุณพ่อเลือกที่จะหายไปจากตรงนั้นเลยค่ะ”

ตลาดเล็กๆ สอนให้เราเติบโต

     ไม่ใช่ว่าทุกคนที่มีชีวิตเติบโตอยู่ในตลาดจะก้าวขึ้นสู่การมาเป็นเจ้าของธุรกิจได้ง่ายๆ เพราะการเริ่มต้นเป็นพ่อค้าแม่ค้าจะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ว่ายาก บางคนที่ไม่เคยทำมาค้าขาย เคยอยู่ในแต่ระบบเงินเดือน ไม่มีความเสี่ยง แต่การออกมาเป็นพ่อค้าแม่ค้าทุกอย่างเราต้องควบคุมเองหมด โดย “คุณปาล์ม” เล่าให้ฟังต่อว่า ช่วงชีวิตในวัยเด็ก เราก็เติบโตอยู่ตลาดหัวกุญแจ จ.ชลบุรีค่ะ ช่วยที่บ้านขายหมู ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เรามีประสบการณ์ค้าขาย  เพราะในตลาดก็มีการแข่งขันกันเป็นเรื่องปกติเนาะ พอเราขึ้นเรียนระดับ ม.ต้น ก็เริ่มมาช่วยอาโกมากขึ้น ประมาณ ตี 4 ก็ต้องตื่นแล้ว บางวันก็ตื่นตี 3  พอช่วยเสร็จก็ไปเรียนและเลิกเรียนก็กลับมาช่วยโกขายถึงเที่ยงคืนทุกวันค่ะ ถ้าหยุดเสาร์-อาทิตย์ ไม่ได้ไปไหนก็จะมาช่วยขายเลย คืออาโกทำงานวันนึงเกือบ 20 ชั่วโมง คือขายหมูเสร็จ ก็จะมีทอดแคปหมูต่ออีกตอน 6 โมงเย็น เสร็จก็เที่ยงคืนค่ะ ที่อาโกเหนื่อยขนาดนี้ ก็เพื่อหาเงินมาส่งเราเรียนและเลี้ยงทุกคนในครอบครัว

      “อาโก กับ อาม่า ท่านทั้งสองเลี้ยงปาล์มดีมาก เราไม่เคยอด ไม่เคยอยาก เราได้รับการศึกษาที่ดี อาม่าก็จะคอยดูแลทุกอย่าง อาบน้ำให้ ดูแลเวลาเราป่วยไข้ ป้อนข้าว ป้อนน้ำให้  ส่วนอาโกหลังจากขายของเสร็จก็จะมาช่วยดูแลเราด้วย แต่หลักๆ อาโกจะหนักไปทางหาเงินช่วยส่งเสียให้เราให้มีความเป็นอยู่ที่ดี ไม่ให้ด้อยกว่าเด็กคนอื่น และต้องได้เรียนสูงๆ ค่ะ  จนอาโกขายหมูมาจน ปาล์ม เรียนอยู่ ม.6 จนโกรู้สึกว่าการขายหมูมันบาปนะ เขาอยากเปลี่ยนอะไรที่ไม่ต้องฆ่าสัตว์ตัดชีวิตบ้าง อาโกก็เลยเลือกที่จะเปลี่ยนมาขายผักแทนค่ะ ช่วงนั้นเราก็ช่วยงานจนถึงเที่ยงคืนทุกวัน มันเหนื่อยมากค่ะ แต่เราก็ต้องพยายามมาก บางทีเราก็ไม่กล้าเผลอหลับ กลัวว่าจะโดนดุ เรากลัวว่าจะทำงานไม่เสร็จ เพราะว่างานมันเยอะมากเลยค่ะ แต่ก็ผ่านมันแล้ว บอกเลยว่าชีวิตเราได้อะไรหลายๆ อย่าง จากชีวิตในตลาดมามากเลยค่ะ”

อาโก กับ อาม่า เติมเต็มในสิ่งที่เราขาด

      บ้านที่มีความสุขไม่จำเป็นต้องหลังใหญ่ ขอแค่อยู่แล้วรู้สึกอบอุ่นมีความสุข และหากต้องการให้เด็กมีนิสัยเป็นแบบไหน ต้องเริ่มต้นที่ครอบครัวเป็นอันดับแรก เพื่อหล่อหลอมเด็กให้มีพื้นฐานจิตใจที่ดี และไม่ก่อความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น ซึ่ง “คุณปาล์ม” เล่าต่อว่า คนที่เลี้ยงเรามาจริงๆ ก็อย่างที่บอกไปค่ะว่าเป็น อาม่า กับ อาโก เป็นผู้มีพระคุณที่เลี้ยงปาล์มจนเติบโต ได้เรียนหนังสูงจนจบปริญญาตรี ชีวิตนี้ปาล์มคงทดแทนไม่หมด แต่จะขอดูแลผู้มีพระคุณทั้งสองให้ดีที่สุดค่ะ ถึงแม้ลึกๆ เรายังอยากที่จะได้พบหน้าคุณพ่ออีกครั้ง ถ้าเขาได้เห็นปาล์มในวันนี้ ก็อยากให้กลับมาและมาเจอกันค่ะ ปาล์มยังคาดหวังนะ ว่าพ่อยังมีชีวิตอยู่ ถึงแม้เวลาจะผ่านมา 30 กว่าปีแล้ว  แต่ในใจลึกๆ ของปาล์ม เขาน่าจะยังอยู่ที่ไหนสักแห่ง ถ้าเทียบเป็นความทรงจำพ่อก็อยู่กับเรานานกว่าแม่ค่ะ แม่ก็จำได้แต่ก็น้อยกว่านิดนึงค่ะ

     “ปาล์มยังจำได้เสมอ เพราะบางทีในวันแม่โรงเรียนก็จะมีการจัดไหว้แม่ หรือกิจกรรมเกี่ยวกับวันแม่ ปาล์มก็พยายามที่จะเขียนเรียงความเกี่ยวกับวันแม่ให้ดีที่สุด เท่าที่จะเขียนได้ เพราะปาล์มมีความเชื่อว่า  ถึงแม้เราไม่ได้อยู่กับแม่  แต่เรียงความชิ้นนี้ เราได้ถ่ายทอดความรู้สึก ความคิดถึง ความรักที่มีต่อแม่ เพื่อส่งต่อไปให้คุณแม่ของเราได้อย่างแน่นอน  และผลที่ออกมา ก็ไม่ได้แย่นะคะ ปาล์มตั้งใจเขียนจนได้ที่ 2 ด้วยค่ะ ดีใจมากๆ เอากลับไปอวดที่บ้านใหญ่เลยในตอนนั้น”

อยากสร้างแบรนด์ของตัวเอง

      หากจะเลี้ยงลูกให้เติบโตแข็งแรง คงต้องยกให้ “น้ำนมแม่” เป็นตัวช่วยระดับต้น ๆ เพราะมีสารอาหารครบถ้วนมากที่สุด เหมาะสมกับการพัฒนาการของทารกในทุกด้าน น้ำนมแม่จึงเปรียบเสมือนวัคซีน ที่มีส่วนช่วยพัฒนาการสมวัยและภูมิคุ้มกันที่ทำให้ลูกน้อยแข็งแรง ไม่เจ็บป่วยง่าย โดย “คุณปาล์ม” เล่าถึงเส้นทางการเริ่มต้นว่า เกิดจากความตั้งใจที่ปาล์มอยากจะผลิตสินค้า Jessie Mum ขึ้นมา เพราะต้องการให้คุณแม่หลายๆ คน ที่มีปัญหาไม่มีน้ำนม หรือมีน้ำนมน้อยไม่พอให้ลูกกิน  ไม่หมดหวัง  และมีแรงบันดาลใจในการที่จะเพิ่มน้ำนม คุณแม่บางคนอาจคิดว่าทำไมปาล์มยังไม่มีลูกเลย แต่อยากทำแบรนด์นี้ขึ้นมา ก็อย่างที่บอกว่าเรายังจำช่วงเวลาดีๆ ที่ผูกพันกับแม่ได้ แม้จะเป็นเวลาสั้นๆ แต่ทุกครั้งที่นึกถึงก็มีความสุขค่ะ และเราคิดว่า การที่เด็กคนหนึ่งเติบโตโดยไม่มีแม่ มันต้องใช้ความเข้มแข็งพอสมควรค่ะ

“จากความรู้สึกที่เราขาดแม่ตั้งแต่เด็ก ความรู้สึกที่เราขาด เราเอาไปไว้ที่ Jessie Mum  สิ่งที่เราขาด เราจึงอยากทำให้ Jessie Mum เป็นสิ่งที่เติมเต็มสำหรับแม่และลูกเพราะเราเชื่อว่าครอบครัวที่สมบูรณ์ได้ควรมีการผูกพันธ์ตั้งแต่เล็กค่ะ เราอยากขายผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเติมเต็มสำหรับคุณแม่และลูกของเขาจริงๆ คุณแม่ทุกคนต่างมีความรักลูก และพยายามที่จะเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ให้ได้  ไม่อยากให้ท้อ  อยากให้พลังแห่งรักของคุณแม่ที่มีต่อลูก สู้ต่อไปค่ะ   และปาล์มก็อยากเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันความรู้สึกนั้น ให้คุณแม่ทุกคนที่กำลังมีปัญหาผ่านพ้นช่วงที่ยากลำบากไปให้ได้ค่ะ”

เส้นทางที่เริ่มจาก 0

      ปัจจุบันสมุนไพรเพิ่มน้ำนมแม่ Jessie Mum กำลังเข้าสู่ปีที่ 6  ผู้ก่อตั้งแบรนด์ได้เผยถึงแนวคิดในการทำธุรกิจและมุมมองทัศนคติการใช้ชีวิตว่า หากคนเราไม่เกี่ยงงาน มีความขยัน และซื่อสัตย์ต่อตัวเองและผู้อื่น พร้อมที่จะพัฒนาตัวเองอยู่เรื่อยๆ แม้ในช่วงชีวิตอาจจะผ่านเรื่องที่เลวร้ายมาก็ตาม แต่อยากให้สิ่งเหล่านั้นเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า คุณแข็งแกร่งพอที่จะก้าวข้ามผ่านไปได้ค่ะ เพราะท้ายที่สุดแล้ว เมื่ออุปสรรคปัญหาต่างๆ คุณได้เผชิญกับมัน คุณก็ได้จะเข้าใจว่า ไม่มีอะไรที่คนเราทำไม่ได้ อยู่ที่ว่าเราจะทำมันหรือไม่ เหมือนการทำธุรกิจก็เช่นกัน ปัญหามีอยู่ตลอดค่ะ แต่อยู่ที่ว่าเราจะมีความอดทนในการจัดการมันมากน้อยแค่ไหน

“ที่จริงชีวิตของปาล์มไม่ได้สวยหรู เรียกว่าติดลบก็ได้ แต่ก็ก้าวข้ามผ่านอุปสรรคตรงนั้นมาได้จนประสบความสำเร็จเป็นเจ้าของแบรนด์ Jessie Mum ก็เจอสิ่งแย่ๆ แต่ก็มีสิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิตเช่นกันค่ะ ก็อยากเป็นกำลังใจให้ทุกๆคน ถ้าชีวิตตอนนี้ เรายังลำบากอยู่ การลำบากในตอนนี้มันอาจจะไม่ตลอดไป เราอาจจะมองปัญหาไม่ใช่ปัญหา เราก็จะสามารถผ่านพ้นไปเอง เพราะทุกคนเกิดมามีปัญหาแต่อยู่ที่ว่าใครจะเจอแบบไหน  ข้ามอุปสรรคไปให้ได้ อย่าคิดว่ามันยากค่ะ  ให้คิดว่ามันเป็นสิ่งหนึ่งที่ต้องผ่านไปเฉยๆ เวลาที่เราเจออะไรที่ยากมากๆ ค่ะ อยากให้ผ่านไปโดยที่คิดว่ามันไม่ใช่เรื่องยากค่ะ” คุณปาล์ม พูดทิ้งท้าย

Jessie Mum หนึ่งเดียวที่แคร์ดูแลจนคุณแม่ทำสต๊อกได้